- 06 ก.ย. 2561
จากศึกลูกหนัง ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ณ กรุงจาการ์ตา และปาเล็มบัง ประเทศอินโดนีเซีย ที่สร้างความผิดหวังให้กับ แฟนบอลชาวไทยอยู่ไม่น้อย
จากศึกลูกหนัง ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ณ กรุงจาการ์ตา และปาเล็มบัง ประเทศอินโดนีเซีย ที่สร้างความผิดหวังให้กับ แฟนบอลชาวไทยอยู่ไม่น้อย เมื่อทัพช้างศึก U23 ไม่สามารถไปถึงฝั่งฝัน ทำได้ดีที่สุดแค่เพียงแต้มเสมอ อีกทั้งยังตกรอบแรกในรอบ 24 ปี เป็นเหตุให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวางว่า หรือจะเป็นยุคที่ฟุตบอลไทยต้องถึงคราวตกต่ำอีกครั้ง
วันนี้สำนักข่าวทีนิวส์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลท่านหนึ่ง ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงกีฬาไทยในฐานะกองเชียร์มายาวนาน ด้วยการโลดแล่นอยู่บนอัฒจันทร์ในสนาม พร้อมกับการโบกสะบัดผืนธงไตรรงค์ในชุดนักรบไทยโบราณพร้อมด้วยเคราที่เป็นเอกลักษณ์ ปลุกขวัญกำลังใจของทัพนักกีฬาให้มีความฮึกเหิมฟาดฟันคู่ต่อสู้นำชัยชนะมาให้ชาวไทยได้เชยชมอยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชายคนนี้ คุณศรสุทธา กลั่นมาลี หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันในชื่อ ถั่วแระ เชิญยิ้ม
ตลอดหลายปีที่คุณถั่วแระอุทิศตนเพื่อวงการเชียร์กีฬาไทย แทบจะเรียกได้ว่าคลุกวงในจนเจนจบทุกเบื้องลึกเบื้องหลัง ถึงแม้จะห่างหายไปกว่า 12 ปี แต่วันนี้เขาได้กลับมาอีกครั้งในฐานะ นายกสมาคมกองเชียร์ จากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ คุณถั่วแระ ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนเกมส์ไว้ กล่าวว่า
กีฬานั้นเปรียบเสมือนบทบาทหนึ่งของสังคม การเรียนรู้ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ถือเป็นเรื่องธรรมดาในการแข่งขัน โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลที่ถือเป็นความยิ่งใหญ่ในการแข่งขันทั้งเอเชียนเกมส์ หรือแม้กระทั่งโอลิมปิก ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จนหลายคนมักมองข้ามกีฬาประเภทอื่น
จากความพ่ายแพ้ของการแข่งขันฟุตบอลในครั้งนี้คุณถั่วแระได้ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยนั้นมักแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ตนไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาในระดับนายกสมาคมกีฬา แต่เป็นเรื่องที่ผู้นำระดับประเทศควรให้ความสำคัญในการยกระดับและพัฒนากีฬาทุกประเภท ไม่ใช่ฟุตบอลแต่เพียงอย่างเดียว
การบริหารการจัดการถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมาสู่ชัยชนะ จากการแข่งขันเอเชียนเกมส์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้เหรียญทองน้อยมาก ซึ่งตามความเข้าใจของตนส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก สรีระที่เสียเปรียบต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่สังคมมักตั้งคำถามว่า มีการใช้เส้นสายในการวางตำแหน่งผู้เล่นเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มในวงการฟุตบอลไทยหรือไม่ ซึ่งคุณถั่วแระได้กล่าวว่า ตนนั้นก็ไม่ทราบเพราะเป็นเรื่องภายใน แต่ปัญหานี้ไม่ได้พบเจอแต่ในการแข่งขันระดับเอเชียนเกมส์ แม้กระทั่งฟุตบอลโลกก็ยังเคยมีกรณีนี้เกิดขึ้นมาแล้ว
หากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟุตบอลไทยในวันนี้ อาจเป็นเพราะการรวมตัวเพื่อฝึกซ้อมก่อนทำการแข่งขันไม่ได้มีการเตรียมการวางแผนในระยะยาว แต่กลับมาเริ่มทำการฝึกซ้อมในระยะกระชั้นชิดเช่น เก็บตัวนักเตะ 2 เดือนก่อนแข่ง ซึ่งในระยะเวลาขนาดนี้ย่อมไม่เพียงพอต่อการเล่นในระบบทีมหรือทบทวนทักษะของนักเตะแน่นอน นอกจากนี้โค้ชก็มีหน้าที่สำคัญในการดึงศักยภาพของนักเตะ และวางแผนการเล่น ซึ่งในส่วนนี้ผู้มีอำนาจก็ควรที่จะเข้ามาสอดส่องดูแลในการคัดเลือกคุณสมบัติของโค้ช ที่ต้องพร้อมด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ ประสบการณ์ และความเหมาะสม เป็นองค์ประกอบสำคัญ
สำหรับตัวนักเตะเองบางครั้งอาจให้ความสำคัญกับธุรกิจมากเกินไป ทั้งการให้ความสำคัญกับสโมสรมากกว่าทีมชาติ หากมองเป็นเรื่องระดับองค์กร การนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ชัยชนะก็ย่อมไม่เกิดขึ้น ตนจึงอยากให้ละทิ้งผลประโยชน์เชิงธุรกิจลง หันมาให้ความสำคัญในระดับส่วนรวมให้มากขึ้น การฝึกฝนอย่างจริงจังตั้งแต่ยังเด็กเพื่อให้เป็นนักกีฬาที่มีศักยภาพในอนาคต ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีคนคิดมานานแล้ว และหลายประเทศก็ทำมาตลอด เช่นประเทศญี่ปุ่น เห็นได้ว่าจากเมื่อก่อนนักกีฬาจะมีขนาดตัวที่เล็กมาก จนเป็นที่มาของคำเรียกเชิงดูถูกว่า "ยุ่น" แต่วันนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว นักกีฬาของเขามีร่างกายที่สูงใหญ่ต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอยากให้เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่หากจะทำเช่นนั้นอาจต้องเว้นช่วงการแข่งขันเป็นระยะเวลานานเพื่อที่จะวางระบบการฝึกซ้อมใหม่ทั้่งหมด อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญคือ การให้ความสนับสนุนนักกีฬาทีมชาติในช่วงบั้นปลายหรือภายหลังนักกีฬาเกษียณตัวเอง จะเห็นได้ว่าผู้ปกครองบางคนเลือกที่จะส่งบุตรหลานไปเรียนกีฬาจริง แต่กลับให้ไปอยู่ในองค์กรหรือสโมสรที่สามารถสร้างรายได้ ได้ดีกว่า มากกว่าที่จะไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติ
เพราะในระยะยาวประเทศไทยยังไม่ได้สนับสนุนนักกีฬาทีมชาติให้มีความมั่นคงในชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม เพราะถึงแม้ภาครัฐจะมอบโอกาสและเชิดชูผู้ที่นำชัยชนะมาให้ประเทศ แต่ยังคงมีนักกีฬาอีกกลุ่มที่ทุ่มเทฝึกซ้อมแต่ไม่ได้รับชัยชนะ ซึ่งกลุ่มนี้ภาครัฐกลับมองข้ามทั้งๆ ที่เขาเหล่านี้เป็นผู้เสียสละและทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเช่นกัน จนบางครั้งถึงขนาดที่ว่ามีนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จและได้เหรียญทองบางคนกล่าวกับลูกตนเองว่า ไม่แนะนำให้เป็นนักฬาอย่างตนเพราะลำบาก ไม่มีความมั่นคง ให้เรียนสูงๆ และหางานทำดีกว่า
สำหรับประเด็นที่เรียกร้องให้โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กลับมาคุมทีมภายหลังผลการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนเกมส์ในครั้งนี้ ทางคุณถั่วแระได้ให้ความเห็นว่า ปัญหานี้ถือเป็นการบริหารจัดการภายใน ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าผู้บริหาร แต่ไม่ว่าใครเป็นโค้ชความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้นได้ ความพ่ายแพ้ของเกมกีฬาไม่ได้มาจากโค้ชแต่เพียงอย่างเดียว ความสามารถของนักกีฬาก็มีส่วนสำคัญ คนไทยส่วนใหญ่คาดหวังในตัวโค้ชซิโก้มากเกินไป หากพูดอย่างตรงไปตรงมา หากประเทศไทยไม่มีโค้ชซิโก้ จะทำอย่างไรต่อไป การสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะนี้มีแต่จะสร้างปัญหาและความขัดแย้งระหว่างโค้ชซิโก้ และโค้ชโย่งเสียเปล่าๆ และกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าตนในฐานะที่ซื้อตั๋วเข้าไปรับชมอยู่ขอบสนาม การจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ในครั้งนี้ถือว่าต่ำกว่ามาตราฐานหากเทียบกับครั้งก่อนๆ ที่ประเทศอื่นเป็นเจ้าภาพ
คุณถั่วแระยังกล่าวอีกว่า กองเชียร์ข้างสนามนั้นมีบทบาทสำคัญและมีอิทธิพลต่อขวัญกำลังใจของกีฬาในสนามเป็นอย่างมาก เพราะเคยได้รับคำตอบจากนักกีฬาว่า การที่ได้เห็นธงไตรรงค์โบกสะบัดอยู่บนอัฒจรรย์ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีเพื่อนร่วมชาติอยู่เคียงข้าง และพร้อมจะต่อสู้เพื่อเอาชัยชนะมาให้ได้ เป็นการสื่อสารกันในสนามลักษณะหนึ่ง และเชื่อมั่นว่าเมื่อนักกีฬาไปแข่งขันต่างแดน ย่อมอยากเห็นธงไตรรงค์และได้ยินเสียงตะโกนเชียร์ด้วยภาษาบ้านเกิดของตนอย่างแน่นอน
ส่วน 12 ปีที่คุณถั่วแระหายไปนั้น ได้ยอมรับว่าหมดไฟและหมดทุน แต่วันนี้เขาได้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะเพราะอะไรนั้นโปรดติดตามในตอนต่อไป