- 17 ก.ย. 2561
วิถีกรรม "พระวิทยา" ศิษย์หลวงตาบัว เทศนาธรรม "เสี่ยเกาะเต่า" เตือนสติผิดศีลครอบครัวพินาศ
จากกรณีเรื่องราวสะเทือนใจบนโลกโซเชียล เมื่อ นายพัชรพล เอกปฐมศักดิ์ หรือ หนุ่ม อายุ 48 ปี เจ้าของบริษัทดำน้ำและร้านอาหารบนเกาะเต่า ตัดสินใจใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงฆ่าตัวตายพร้อมกับไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊ก ที่บ้านพักหลังหนึ่งในซอยพ่อขุนทะเล 22 ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี
กระทั่งตำรวจพบศพบนห้องนอนชั้น 2 ในสภาพชุดขับขี่จักรยานยนต์บิ๊กไบค์ สวมหมวกนิรภัย และใส่ถุงมือ มีบาดแผลถูกยิงที่ศีรษะด้านขวา 1 นัด บนตัวพบอาวุธปืนขนาด 9 มม. บนกระจกตู้เขียนด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงินข้อความระบุว่า I have enough (ฉันสุดจะทนแล้ว) ไม่มีอะไร ผมตัดสินทำเอง" และบริเวณกล้องโกโปรพร้อมไอแพดเขียนข้อความว่า "ให้ดูคลิปสองคลิปสุดท้ายในกล้องก่อน แล้วค่อยดูคลิปแรกใน Mem"
ทั้งนี้ ก่อนผู้เสียชีวิตยังเคยเขียนเรื่องราวระบายความในใจผ่านเว็บไซต์พันทิป ก่อนจบชีวิตตัวเอง ฝากถึงคนรักว่าขอให้ดูแลลูกทั้ง 2 คนไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ ยังได้สาปแช่งถึงผู้ชายที่มีส่วนทำให้คนรักของตนนอกใจ ว่าถ้าหากใช้เงินจากธุรกิจที่ตัวเองสร้าง ก็ขอให้พบจุดจบอย่างไม่เป็นธรรมชาติเหมือนเช่นตัวเอง "ถ้าเรื่องวิญญาณและชีวิตหลังความตายมีจริง พี่จะอยู่ทุก ๆ มุมมืด คอยดูเรา พี่ไม่ต้องการไปเกิดใหม่ พอแล้ว ด้วยความแค้นเต็มอก" จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวภรรยาของผู้เสียชีวิตเป็นอย่างมากนั้น ซึ่งหลังจากครอบครัวนายพัชรพล ทราบข่าวที่เกิดขึ้น ต่างโศกเศร้าและเสียใจต่อการจากไปอย่างกะทันหันอย่างมาก โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อและน้องสาวของนายพัชรพล
ล่าสุด เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช เจ้าอาวาสวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้โพสต์ข้อความเชิงเทศนาธรรมผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีของ นายพัชรพล เอกปฐมศักดิ์ หรือ หนุ่ม เสี่ยเกาะเต่าฆ่าตัวตาย ว่า...
พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช เจ้าอาวาสวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน จังหวัดเชียงใหม่
"ช่วงนี้ก็มีเรื่องดราม่าผ่านเข้ามาในเฟสบุ๊คอยู่ ๒ เรื่อง
เรื่องที่ ๑ เป็นข่าวการฆ่าตัวตายของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่อยู่บนเกาะเต่า เพราะมีปัญหาในครอบครัวที่ตัวเองเป็นผู้สร้างธุรกิจมากับมือ แต่ผิดตรงที่ไปสร้างอยู่บนที่ดินของคนอื่น ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร คือภรรยาของตนเอง แต่ตามข่าวภรรยาอาจมีพฤติกรรมที่ไม่ใช่สมบัติของสามีคนเดียว และบ่อยครั้งที่ทะเลาะกัน ภรรยาก็ขับไล่ให้ออกไปจากบ้าน ให้ไปแต่ตัว ทั้ง ๆ ที่ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของสามีที่ทุ่มเทเพื่อลูก ๆ สุดท้ายก็จบชีวิตลง ด้วยการฆ่าตัวตาย อ่านแล้วก็รู้สึกสังเวชสลดใจสงสารทั้งสองคนผัวเมีย ถ้าได้รู้จักใช้ธรรมะเข้าแก้ไขปัญหา หรือมีครูบาอาจารย์ชี้ทาง ชีวิตของเขาก็คงจะไม่จบลงอย่างอนาถเช่นนี้
มันคงเป็นกรรมของเขาทั้งสองคนที่ก่อเวรกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ชายหนุ่มอาจต้องไปเกิดฆ่าตัวตายอีกจนกว่าจะถึง ๕๐๐ ชาติ และถ้าได้เป็นผัวเมียกันอีก ก็หนีไม่พ้นเรื่องทำนองอย่างนี้ และต้องจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย สิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนกรรมของทั้งสองได้ ก็ต้องมีบุญวาสนาร่วมกันได้พบกับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ระดับชั้นพระอริยบุคคล ช่วยโปรดชี้ทางพ้นทุกข์ให้ และเขาทั้งสองเกิดมีความเลื่อมใสศรัทธาเชื่อฟัง และปฏิบัติตาม ถ้าจักมีบุญวาสนามีโอกาสได้เป็นเช่นนั้น ก็อาจพ้นจากกรรมนี้ไปได้ หรืออย่างน้อยก็พอผ่อนหนักให้เป็นเบา ไม่อย่างนั้น เขาทั้งสองคงมีชะตากรรมที่จะต้องผูกเวรกันไปอีกตลอดกาลนาน
เรื่องชีวิตการครองเรือนของสามีภรรยานั้น ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ซื่อสัตย์ ผิดศีลข้อสาม ก็มักจะจบลงอย่างไม่สวยด้วยกันทั้งนั้น จงจำเอาไว้ให้ดี ๆ เถิดว่า การทำผิดศีลข้อสาม ก็เปรียบเหมือนการเอาระเบิดนิวเคลียร์มาซุกซ่อนไว้ในบ้านดี ๆ นี่เอง มันพร้อมที่จะระเบิดทำลายครอบครัวให้พินาศย่อยยับไปได้ในชั่วพริบตาเดียว
สำหรับฝ่ายหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ นับจากนี้ไป ก็คงจะเป็นอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน เมื่อสามีเปิดเผยทุกเรื่องราวในโซเชียล เธอก็ถูกพายุโซเชียลพัดกระหน่ำจนแทบจะแหลกสลายไปหมดสิ้นทุกสิ่งแล้ว เธอจะทำใจรับได้สักแค่ไหน แล้วลูกน้อยทั้งสองคนจะรู้สึกอย่างไร พ่อก็เป็นอย่างนั้น แม่ก็เป็นอย่างโน้น เวรกรรมที่หนีไม่พ้น นี่แหละ! ชะตากรรมลิขิต จงอย่าได้ไปซ้ำเติมกันเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรมจะดำเนินการไปเอง กรรมย่อมยุติธรรมเสมอ ไม่มีการลำเอียงเข้าข้างผู้ใดอย่างแน่นอน
หากเธอจะสำนึกผิด ก็จงกลับใจทำตัวเสียใหม่ เร่งสร้างความดีแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่จะทำได้ก็คือ ดูแลเลี้ยงลูกให้ดี อย่าให้เด็กเกิดปมด้อย ควรทำใจให้เข้มแข็ง ผิดไปแล้วก็แล้วกันไป อย่าให้ผิดซ้ำซาก กรรมใหม่ทำตัวให้ดี แล้วหาโอกาสไปบวชถือศีล ๘ ปฏิบัติอย่างจริงใจ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นหนทางเดียวที่จะอุทิศบุญให้กับวิญญาณของผู้ตาย ถ้าเขาจะอยู่ในภพภูมิที่สามารถรับได้ หรือแม้เขาจะไม่สามารถรับได้ ก็สมควรทำเพื่อชำระความผิดพลาดของตนเอง ถ้าจะสามารถทำได้ ก็ได้แต่ภาวนาขอให้เขาทั้งสอง จงอยู่เป็นสุข และจงมีสุขรักษาตนด้วยดีเถิด"
นอกจากนั้น พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช ยังเทศนาธรรมถึงประเด็นภาพโปสเตอร์โปรโมตกิจกรรมคัดตัวเชียร์ลีดเดอร์ รุ่น 73 แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากเพจเฟซบุ๊ก TU Cheerleader FC ได้แชร์ภาพของเหล่าตัวแทนนักศึกษาทั้งชายและหญิง เป็นรูปถ่ายที่แสดงออกมาลักษณะคล้ายกับว่าไม่ได้สวมเสื้อด้านบน จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งดีและลบ ว่า...
(อ่านข่าว : จวกยับ! มหาลัยดังโปรโมตคัดตัวลีด ถ่ายรูปนศ.ชายหญิงเปลือยเนินอก ถกสนั่นเหมาะสมหรือ)
"ดราม่าอีกเรื่องหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในเฟสบุ๊ค ที่แรงพอ ๆ กัน ก็คือ เรื่องของนักศึกษามหาวิทยาลัยดังระดับแนวหน้าของประเทศ ที่ถ่ายรูปเปลือยหัวไหล่ ติดโปสเตอร์อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเกิดข้อกังขา ว่า มันคืออะไร และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา ทั้งในแง่ดี และไม่ดี แต่ดูเหมือนจะถูกวิจารณ์ไปในทางลบเสียเป็นส่วนมาก
คิดว่า คนส่วนใหญ่ที่มองเห็นภาพก็คงจะรู้กันดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชี้แจงเหตุผลใด ๆ ว่าสิ่งที่ทำนั้น มันจะเป็นความดีงามหรือไม่ดีงามอย่างไร? เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร? กับสถานภาพของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ และอาจเป็นมหาวิทยาลัยในฝัน ของเด็กไทยอีกหลายล้านคน
ดังนั้น นักศึกษาในมหาวิทยาลัย จึงควรทำตัวให้ดี ให้เป็นแบบอย่างที่ดีงามในสายตาของน้อง ๆ ชั้นประถม และมัธยมอีกมากมาย ที่กำลังฝันจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้น อะไรที่สังคมมองว่า มันไม่เหมาะไม่ควร ก็นำมาพิเคราะห์ดูว่า มันจริงไหม? ถ้าหากจริง ก็ควรยอมรับผิด และแก้ไขให้ถูกต้องเสีย สิ่งใดไม่ดีก็เอาออกไป จึงสมกับที่เป็นปัญญาชนของชาติ จะทำอะไรต้องคิดถึงผลได้ผลเสียให้ชัดแจ้งเสียก่อน รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น เมื่อเห็นว่าดีแน่แล้ว จึงค่อยทำลงไป
ที่เกิดเป็นภาพข่าวในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น มันยังเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว เพราะอาจเป็นแค่พฤติกรรมที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนกลุ่มนั้นเพียงไม่กี่คน เขาอาจคิดแค่จะสื่อภาพเพื่อให้ดึงดูดความสนใจในกิจกรรมที่พวกเขาจะนำเสนอ และมันก็ได้ผล แต่มันหากได้ผลเลยเถิดเกินไปจนเขาคาดไม่ถึงว่า ภาพที่สื่อจะกลายเป็นภาพที่ถูกมองติดไปในแง่ลบได้ขนาดนั้น จริง ๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่เสื่อมเสียอันใด เพียงแต่พวกเขาสื่อภาพที่ไม่สมควรกับฐานะของนักศึกษาระดับปัญญาชนเท่านั้นเอง
ถ้ามองภาพความจริงที่เป็นอยู่ในสังคมบ้านเรา มันดุเดือดยิ่งกว่านี้อีกหลายร้อยเท่านัก พฤติกรรมของวัยรุ่นสมัยใหม่ ตลอดจนค่านิยมของคนในสังคม ทุกวันนี้สื่อที่มันส่อแววไปในทางลามกอนาจารมันก็มีอยู่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง อันนี้สิ! น่าเป็นห่วงมากกว่าเสียอีก ก็ไม่รู้ว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคิดเห็นกันอย่างไร?
ลองเสิร์ชหาในกูเกิ้ล หรือในยูทูป ดูสิ! มันโผล่ขึ้นมาราวกับดอกเห็ด ทั้งเรื่องทำลายชาติ ทำลายศาสนา ทำลายสถาบันกษัตริย์ มันเยอะแยะไปหมด ทำไมเขาปล่อยให้มีคลิปต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ได้อย่างไร? ทั้งภาพโป๊ ภาพเปลือย วีดีโอโป๊เปลือยจนถึงระดับฟาดกันอย่างโจ่งแจ้ง ก็มีเต็มไปหมด ไม่ต้องไปเจตนาหามันก็เจอ มันก็โผล่มาให้เห็นเอง เรียกว่า ยุคสมัยนี้ มองไปทางไหน ทั้งในโลกจริง ทั้งในโซเชียล ก็หนีไม่พ้นภาพวับ ๆ แวม ๆ ที่โชว์หนังโชว์เนื้อ จนแทบจะไม่มีที่หลบซ่อนสายตา เอะอะอะไรก็ว่า มันเป็นศิลปะ อะไร ๆ ก็เป็นศิลปะไปหมด การเปลือยกาย การแก้ผ้าโชว์หนังโชว์เนื้อ กลายเป็นศิลปะแขนงเอก และดูเหมือนว่าจะเป็นศิลปะที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทุกที
โลกนี้ทั้งโลกมันจะจมดิ่งอยู่แต่กับศิลปะการโชว์หนังโชว์เนื้อไปหมดแลหรือ? นับวันจิตใจของคนเรา มันก็ยิ่งจะขาดศีล ขาดธรรมตกต่ำเสื่อมทรามลงไปเรื่อย ๆ ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ไม่ออกมาห้ามปราม มาชักจูงชี้แนะในสิ่งที่ดีงาม รณรงค์ปลูกฝังศีลธรรม และจริยธรรม ตลอดจนมารยาทความประพฤติที่ดีงาม ทั้งการพูดการจา การอ่าน การเขียนภาษาไทย อย่างถูกต้อง อีกหน่อยลูก ๆ หลาน ๆ ของพวกเรา คงจะพากันประพฤติปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนวถลำลึกลงไปอีกแค่ไหน? ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ช่วยกันปลูกฝังสิ่งที่ดี ๆ ให้แก่เยาวชนไทยเสียแต่บัดนี้ วัฒนธรรมไทยคงจะถูกกลืน และอาจสูญหายไปตามกาลเวลา และจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ แม้ชาวพุทธเองก็เช่นเดียวกัน หากชาวพุทธยังหลงระเริงโดยไม่ยึดมั่นในศีลธรรมและจริยธรรรมตามคำสอนของพระบรมศาสดา ศาสนาพุทธก็อาจจะถูกกลืนให้สูญหายไปจากประเทศไทยได้ก่อนเวลาอันควร
ถ้าคนในสังคมไม่รู้จักคิดอ่านช่วยกันแก้ไขจัดการกับการกระทำที่เลวร้าย นำคนทำผิดมาลงโทษตามควรแก่โทษานุโทษ คนทำผิดก็ได้ใจ และอาจคิดว่า สังคมคงยอมรับ และเห็นดีเห็นงามกับการกระทำของเขา ก็ยิ่งจะซ้ำร้ายทำผิดหนักเข้าไปเรื่อย ๆ จะพึ่งพาอาศัยตำรวจรึ? หลายคนก็กำลังมองว่า ตำรวจก็เป็นตัวปัญหาของประเทศ ที่จะต้องถูกปฏิรูป จะรอให้พระไปเทศน์สอนเขารึ พวกนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่พระควรจะไปเทศน์สอนเขา เพราะพระจะเทศน์สอนญาติสอนโยมได้ ก็แต่เฉพาะคนที่เขาสนใจจะฟังธรรมะเท่านั้น
พวกที่เขาไม่สนใจธรรมะ ต่อให้เอาธรรมะไปพูดกรอกใส่รูหูเขา ก็ยังไม่อาจเอาธรรมะเข้าไปในรูหูเขาได้เลย พระก็คงไม่มีอารมณ์ดีเห็นปานนั้น พอที่จะเอาธรรมะไปพูดกรอกรูหูใครให้เปลืองลม มันสู้กันไม่ไหวหรอก คิดดูสิ!! ปฏิบัติธรรมแทบตายกว่าจะได้ธรรมะมาเทศน์สอนคน พอเอาลงยูทูปไปตั้งหลายเดือน มีคนมากดฟังไม่กี่ร้อยกี่พันวิว แต่คุณอะไรร้องเพลงเต้นแร้งเต้นกาเด้งหน้าเด้งหลัง ยกแข้งยกขาเล่นท่ายากไม่กี่ท่า เพียงแค่ชั่วคืนเดียวยอดวิวเป็นล้าน โอ๊ย ๆๆๆๆ พระขอยอมแพ้ ถ้าเป็นมวยก็ถูกน๊อคตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นเวที
นี่! ถ้าคนเราคิดแต่จะแก้ผ้าโชว์หนังโชว์เนื้อที่ไม่ควรโชว์กันอย่างไม่ละอาย ไม่ดูสถานภาพของตัวเอง ไม่ดูกาลเทศะ ไม่ดูจารีตประเพณี ไม่ดูวัฒนธรรมอันดีงาม ตลอดจนไม่ใส่ใจว่าจะขัดต่อศีลธรรม จริยธรรมอย่างไรหรือไม่? กล้าที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เท่าที่ตัวเองอยากจะทำ เพียงแค่ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า "เงิน" โดยไม่แคร์ว่า ใครจะคิดอย่างไร? จะเป็นผลดีผลเสียต่อสังคมอย่างไร? ถ้าเช่นนั้น เราคงจะใช้เสรีภาพกันจนเลยเถิดเลอะเทอะมากเกินไปแล้ว
คนเราต่างมีการศึกษา มีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์ การใช้เสรีภาพก็ควรตั้งอยู่บนรากฐานของความดีงาม อย่าใช้เสรีภาพไปในทางต่ำทราม และก่อให้เกิดพิษภัยแก่ผู้อื่น ที่สำคัญคือ ต้องตั้งอยู่บนศีลธรรม และจริยธรรมอันดี อันเป็นที่ยอมรับกันได้ในสังคมนั้น ๆ มิฉะนั้นแล้ว คนกับสัตว์ ก็แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลย
เพราะสัตว์มันก็มีเสรีภาพที่จะทำอะไรได้ตามใจมันเหมือนกัน มันไม่มีกฏกติกาใด ๆ มันตัดสินความถูกต้องด้วยพละกำลัง มันสมสู่กันโดยไม่เลือกว่า ลูกใคร เมียใคร แม้กระทั่งกับลูกมันเอง กับแม่มันเอง กับพ่อมันเอง มันไม่ต้องมีการสู่ขอ ไม่ต้องมีการประกาศแต่งงานกัน เพื่อให้คนอื่นเป็นสักขีพยานรับทราบการใช้ชีวิตร่วมกัน จะได้ไม่ก้าวล่วงขอบเขตของกันและกัน
และที่สำคัญคือ สัตว์มันไม่ใส่เสื้อผ้า ไปไหนมันก็โชว์หนังโชว์เนื้อโชว์อวัยวะได้หมดทุกอย่าง ไม่เลือกที่เลือกทาง แต่มันไม่มีเจตนาอยากจะโชว์นะ แต่ที่ต้องโชว์เพราะมันไม่มีสติปัญญาตัดเย็บเสื้อผ้ามาใส่เองต่างหาก แต่ก็มีหมาบางตัวที่เจ้าของหาเสื้อผ้าไปใส่ให้มัน สอนมารยาทแก่มัน เลยทำให้ดูเหมือนว่า หมาบางตัวก็อาจจะดูมีวัฒนธรรมสูงกว่าคนบางคนที่ชอบอวดเนื้ออวดหนังอย่างไม่เลือกที่เลือกทาง นั่นเป็นเพราะเจ้าของหมาเขาเอาใจใส่ดูแลฝึกฝนอบรมมันอย่างดี จนมันถึงแม้เป็นสัตว์ ก็ยังดูมีมารยาทที่ดีงามได้ คนเรามีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์ ยิ่งต้องฝึกฝนอบรมให้ดีได้ง่ายยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก แต่ถึงกระนั้น คนบางคนก็ยังอุตส่าห์มีพฤติกรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์
พวกเราที่เป็นคน ก็จงคำนึงถึงสถานภาพของความเป็นคนไว้ให้มาก ๆ จงใช้เสรีภาพอย่างมีขอบเขตเหตุผล อย่าพากันใช้เสรีภาพจนเลยเถิด จนกลายไปเป็นเสรีภาพของสัตว์ไปเลย"