- 25 ต.ค. 2561
จากกรณี เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2561 พ.ต.อ.ดิษยเดช พัชรภูวดล ผกก.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก หลังได้รับแจ้งความ จากผู้เสียหาย ที่เป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารแห่งหนึ่งสูญหายไป โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ทำการถอนเงินออกมาแต่อย่างใด
จากกรณี เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2561 พ.ต.อ.ดิษยเดช พัชรภูวดล ผกก.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก หลังได้รับแจ้งความ จากผู้เสียหาย ที่เป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารแห่งหนึ่งสูญหายไป โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ทำการถอนเงินออกมาแต่อย่างใด
โดยผู้เสียหายคือ นายประสงค์ชัย มากบำรุง อายุ 61 ปี ชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ อาชีพพ่อค้าขายมะพร้าวในตลาด ได้เผยว่าเงินที่หายไปคือเงินในบัญชีฝากประจำซึ่งเป็นเงินกว่า 700,000 บาท นายประสงค์ชัยเล่าว่า วันที่ 19 มี.ค. 2561 ได้ถอนเงินออกมา 100,118.77 บาท และวันที่ 3 เม.ย. 2561 ถอนเงินอีก 200,272.47 บาท โดยในขณะนั้นยังมียอดเงินเหลือในบัญชี 702,000 บาท แต่แล้ววันที่ 14 พ.ค. 2561 หลังจากตรวจสอบบัญชีกลับพบว่ามียอดเงินคงเหลือเพียง 172,000 บาท เท่านั้น
จึงทำการเข้าติดต่อกับธนาคารสาขาที่นำเงินไปฝาก ซึ่งทางผู้จัดการแจ้งว่าทางธนาคารได้ตรวจสอบพบว่ามีการถอนเงินออกไป 5 ครั้ง เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นฝีมือของพนักงานของธนาคาร ซึ่งได้ทำการลาออกไปเรียบร้อยแล้ว โดยทางธนาคารยืนยันว่าจะทำการชดใช้เงินทั้งหมด แต่จนบัดนี้เวลาล่วงเลยมาเป็นกว่า 5 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้รับเงินคืนแต่อย่างใด จึงได้เข้าแจ้งความกับ ผกก.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ หวังอาศัยกระบวนการตามกฏหมายเพื่อนำเงินกลับคืนมา
อย่างไรแล้วกรณีดังกล่าวได้มีการเปิดเผยเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความ ไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เมืองอุตรดิตถ์ จำนวน 3 ราย โดยรายแรก จำนวน 672,191.95 บาท รายที่ 2 จำนวน 577,000 บาท และรายล่าสุด รายที่ 3 ผู้เป็นผู้สูงอายุ 90 ปี จำนวน 500,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า 1,749,000 บาท
ซึ่งทางพ.ต.อ.ดิษยเดช พัชรภูวดล ผกก.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ รับแจ้งว่าสำนักงานใหญ่ของธนาคารได้อนุมัติเงินคืนให้กับผู้เสียหายทั้ง 3 รายแล้ว โดยจะดำเนินการคืนเงินเข้าบัญชีภายในไม่เกินวันศุกร์ ที่ 26 ต.ค. 61 นี้ และทางผู้เสียหายได้รับทราบแล้ว โดยให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า หากได้รับเงินคืนครบก็ไม่ติดใจเอาความใดๆ อีก
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางธนาคารสาขาก็เป็นผู้เสียหายเช่นกัน โดยในขณะนี้ อยู่ระหว่างสำนักงานใหญ่มอบอำนาจให้ดำเนินการร้องทุกข์ ดำเนินคดีลักทรัพย์นายจ้างต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมอบอำนาจเพื่อดำเนินการในเร็วๆ นี้ และมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า พนักงานที่ทำการโจรกรรมเงินในบัญชีธนาคารนั้น มีพฤติกรรมใช้เงินฟุ่มเฟือย นิยมของแบรนด์แนม ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการหลบหนี
และจากประเด็นนี้เองทางสำนักข่าวทีนิวส์ได้ทำการโทรศัพท์ติดต่อไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้า แต่ไม่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมแต่อย่างใด โดยทางธนาคารฯให้เหตุผลว่า อาจกระทบต่อความมั่นคงของสถาบันทางการเงิน
อย่างไรก็ตามทนายรัชพล ศิริสาคร แอดมินแฟนเพจเฟซบุ๊ก สายตรงกฎหมาย ได้ระบุถึงข้อกฏหมายว่าการนำเงินไปฝากธนาคารนั้น ทางธนาคารจะสามารถนำเงินของผู้ฝากไปใช้ได้ แต่เมื่อใดที่ผู้ฝากต้องการใช้เงินในบัญชีผ่านการถอนเงิน ทางธนาคารต้องมีเงินครบตามจำนวนที่ฝากไว้
ตามหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 มาตรา 659 สรุปความโดยกระชับได้ว่า หากเงินในบัญชีหายไปโดยที่ทางเจ้าของบัญชียังไม่ได้ทำธุรกรรม ทางธนาคารจะต้องคืนเงินให้ครบตามจำนวน เป็นที่แน่นอนว่าจากกรณีดังกล่าวพนักงานอาจมีความผิดในทางอาญาข้อหาลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ส่วนข้อหาอื่นนั้นต้องดูรายละเอียดในการสอบสวนต่อไป โดยคดีลักทรัพย์ มีโทษสูงสุด จำคุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่นบาท ยอมความไม่ได้ ส่วนยักยอกทรัพย์ โทษสูงสุด จำคุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่นบาท สามารถตกลงกันหรือยอมความได้
สำหรับคนร้ายที่กำลังลอยนวลอยู่ในขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฏหมายได้หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป