- 16 พ.ย. 2561
ล่าระทึก! DSI ล่าตัว"เลขาฯหญิงอ้อ-สามี" หนีคดีกรุงไทยฯซุก"ฮ่องกง" ขณะอัยการต่าง ปท.ยัน "มีสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน"
นี่ไง...คนของฝ่ายประชาธิปไตย! อธิบดี DSI เผยล่าตัว "นางกาญจนาภา หงส์เหิน" เลขาฯ "คุณหญิงอ้อ-พจมาน ณ ป้อมเพชร" อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร และ "สามี -นายวันชัย หงส์เหิน" หลังหลบหนีคดีฟอกเงินกรุงไทยฯ ไปซุก "ฮ่องกง" ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. มารับโทษ ขณะอธิบดีอัยการ สำนักต่างประเทศยัน "ไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับจีน" ซึ่งครอบครองพื้นที่เกาะฮ่องกงอยู่ หากว่ามีการระบุถิ่นที่อยู่ และส่งเรื่องมายังอัยการสูงสุด เราก็จะประสานงานตามขั้นตอนส่งผู้ร้ายข้ามแดน
วันนี้ (16 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า หลัง "พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้อนุมัติหมายจับ "นางกาญจนาภา หงษ์เหิน" เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และ "นายวันชัย หงส์เหิน" ผู้ต้องหาคดีความผิดฐานฟอกเงินในคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตอนุมัติสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานครมิชอบ หลังผู้ต้องหาไม่เดินทางเข้ารับฟังคำสั่งฟ้องของอัยการตามนัดเมื่อวันที่ 31 ต.ค.
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ DSI พบว่า หลังจากมีการส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาให้อัยการไปเมื่อวันที่ 25 ก.ค. และอัยการได้ปล่อยตัวโดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขประกันตัว ต่อมาในเดือน ต.ค. ก็พบว่าบุคคลทั้ง 2 ได้เดินทางออกนอกประเทศปลายทางคือเกาะฮ่องกง ซึ่งถือเป็นการเป็นการเดินทางออกนอกประเทศ ก่อนกำหนดนัดที่อัยการนัดมาฟังคำสั่งฟ้อง โดยหลังจากนี้ดีเอสไอจะเร่งตรวจสอบประเทศปลายทางว่า หลังจากฮ่องกงแล้วได้เดินทางยังประเทศใดอีก เพื่อให้ทราบถิ่นที่อยู่และส่งเรื่องอัยการสูงสุดประสานเพื่อขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ทั้งนี้ อายุความคดีดังกล่าวจะไม่ขาดลงในเดือนม.ค. 62 เนื่องจากเป็นคดีที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ทำให้คดีไม่มีอายุความแม้ผู้ต้องหาหลบหนี
สำหรับคดีดังกล่าวสืบเนื่องจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) กล่าวโทษให้ดีเอสไอดำเนินคดีกับนางเกศินี จิปิภพ นางกาญจนาภา หงส์เหิน นายวันชัย หงส์เหิน และนายพานทองแท้ ชินวัตร ในความผิดฐานฟอกเงินและโดยดีเอสไอมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา และส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการซึ่งมีการนัดฟังคำสั่งเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่าน แต่ปรากฏว่านางกาญจนาภา และนายวันชัย ไม่เดินทางมาตามกำหนดนัดโดยไม่มีเหตุอันควร พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 จึงขอให้ดีเอสไอดำเนินการเพื่อให้ได้ตัวผู้ต้องหาทั้งสองโดยเร็ว
จนต่อมาพบว่าบุคคลทั้ง 2 ได้เดินทางออกนอกประเทศไปตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. และเนื่องจากคดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อมีพฤติการณ์หลบหนี ดีเอสไอจึงยื่นคำขอต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เพื่อให้ออกหมายจับ กระทั่งนำไปสู่ออกหมายจับเลขที่ จ.115/2561 ลงวันที่ 12 พ.ย. 61 ให้จับตัวนางกาญจนาภา และหมายจับเลขที่ จ.116/2561 ลงวันที่ 12 พ.ย. 61ให้จับนายวันชัย มาดำเนินคดีตามขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป.
ล่าสุดด้าน "นายชัชชม อรรฆภิญญ์" อธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กรณีนี้ว่า ในเรื่องการประสานขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ในกรณีที่ผู้ต้องหาหนีไปต่างประเทศจะต้องมีการประสานงานมา ขอให้อัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางส่งเรื่องไปที่ฮ่องกง เพื่อจับกุมผู้ต้องหาและผ่านกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับมายังประเทศไทยต่อไป ขณะนี้ตนยังไม่ได้เห็นหนังสือจากพนักงานสอบสวนส่งไปถึงอัยการสูงสุดแต่อย่างใด ปกติแล้วหนังสือจะส่งไปที่อัยการสูงสุด ก่อนส่งมายังสำนักงานต่างประเทศเพื่อดำเนินการต่อไป
นายชัชชม กล่าวต่อว่า ในคำร้องขอผู้ร้ายข้ามแดนที่จะประสานไปนั้น จะต้องมีการระบุถิ่นที่อยู่ของผู้ต้องหามากพอสมควร เช่นอยู่ในที่พักเลขที่เท่าไหร่ ตำบล อำเภอ หรือถนนเส้นไหน เพราะถ้าเราไม่ได้ระบุไปก็จะต้องใช้วิธีการร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสืบหาบุคคลทางความร่วมมือระหว่างประเทศ ก่อนที่จะใช้ขั้นตอนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งตรงนี้ทางพนักงานสอบสวนไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือดีเอสไอต้องรู้จุดพิกัด ก่อนส่งเรื่องมายังอัยการได้
เมื่อถามว่าระหว่างประเทศไทยกับฮ่องกงมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ นายชัชชม กล่าวว่า เดิมประเทศไทยเรานั้นมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศจีน ซึ่งครอบครองพื้นที่เกาะฮ่องกงอยู่ หากว่ามีการระบุถิ่นที่อยู่และส่งเรื่องมายังอัยการสูงสุด เราก็จะประสานงานตามขั้นตอนส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อขอตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีได้