- 19 ธ.ค. 2561
กัมปนาทปืนสะเทือนลั่นส่งสัญญาณให้ควบตะบึง จาก "ม้ามืด" ที่เคยผยองกร้าว ก็ออกอาการ "ลูกผีลูกคน" ดูกลายว่าจะปราชัยในสนามการเลือกตั้งเสียแล้ว กับความขัดแย้งใน "พรรคอนาคตใหม่" ภายหลัง "ประกาศปลดล็อคพรรคการเมือง" ได้ชั่วไก่กระพือปีก ก็ปรากฏว่าตัวผู้นำพรรค นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
กัมปนาทปืนสะเทือนลั่นส่งสัญญาณให้ควบตะบึง จาก "ม้ามืด" ที่เคยผยองกร้าว ก็ออกอาการ "ลูกผีลูกคน" ดูกลายว่าจะปราชัยในสนามการเลือกตั้งเสียแล้ว
กับความขัดแย้งใน "พรรคอนาคตใหม่" ภายหลัง "ประกาศปลดล็อคพรรคการเมือง" ได้ชั่วไก่กระพือปีก ก็ปรากฏว่าตัวผู้นำพรรค นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้สลัดคราบนักอุดมการณ์ที่เคยถือมั่นไว้แต่ต้นไปในทันใด เพราะหากย้อนไปแต่แรกเริ่มเดิมที การปรากฏตัวของพรรคอนาคตใหม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมได้มากพอควร เนื่องด้วยเป็นการรวมตัวของกลุ่มบุคคลที่เสมือนว่าเป็นตัวแทนของ "คนรุ่นใหม่" รวมถึงดีกรีของหัวหน้าพรรคที่ประหนึ่งนักอุดมการณ์ตัวยง
ที่ผู้นำคือนายธนาธรอวดอ้างสรรพคุณ ภายหลังจากที่มีคลิปวิดิโอว่าเขาคลุกวงในเป็นหนึ่งในมวลชนเสื้อแดงว่า ตนนั้นเข้าร่วมการชุมนุมเกือบทุกการชุมนุม ไม่เว้นแม้แต่การชุมนุมของ "พันธมิตร" เมื่อปี 2551 กอปรกับสภาพการเมืองไทยที่เต็มไปด้วยอาวุโสชนขึ้นมานั่งบริหารประเทศ ทำให้คอการเมืองหลายคนหลงติดกับจากคำฟุ้งของนายธนาธร จับจ้องรอเข้าคูหากากบาทเทใจให้พรรคอนาคตใหม่ชนิดตาเป็นมัน
อีกประการหนึ่งคือจุดยืนและอุดมการณ์ที่นายธนาธรและพลพรรค หยิบยกมาใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนความชอบธรรมในการแสดงออกเพื่อโต้ตอบฝั่งตรงข้าม คือ การหยิบยกวาทกรรม "เผด็จการ" และ "อำนาจนิยม" มาโพนทนาป้ายสีแก่ รัฐบาล คสช. แต่กลับให้พรรคของตนรับบท พรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฟากฝั่งประชาธิปไตย หากทว่าแท้จริงแล้วชวนให้น่าสมเพชไม่น้อย เมื่อการรวมตัวของ พรรคอนาคตใหม่ เต็มไปด้วยการผสมปนเปทางทัศนะซึ่งมาจากชุดความคิดแบบ "เสรีนิยม" สุดขั้ว ถือดีว่าตนนั้นเหนือกว่าไม่เปิดรับความเห็นต่างจนกลายเป็นความแตกแยกขั้นรุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพฤติการณ์การใช้อำนาจบาตรใหญ่ของนายธนาธร ที่สวนทางกับครรลองของประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง ครั้งแรกกับคำสั่งฟ้าผ่าให้กลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่ประหนึ่งเป็นฟันเฟืองของพรรค ยุติการดำเนินกิจกรรมด้วยพยายามให้เหตุผลว่าพบความไม่โปร่งใส ทำให้ตัวแทนกลุ่มดังกล่าวคือ "นานา" วิภาพรรณ วงษ์สว่าง ในตำแหน่ง กรรมการสัดส่วนเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่ ถึงกับขอลาจากพรรคเป็นการถาวร
นำมาซึ่งความคลางแคลงใจว่าแท้จริงมี "ลับลมคมใน" อันใดหรือไม่ ซึ่งหากว่ากันไปตามกระบวนการตรวจสอบที่มีความชอบธรรม ควรจะมีการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาให้คนภายนอกได้รับรู้ มิใช่สักเพียงแต่ "ปัดสวะให้พ้นหน้าบ้าน" ด้วยการเฉดหัวกันแบบไร้หลักฐานหรือรายละเอียด เพราะสิ่งที่ปรากฏกลับมีเพียงแต่การพยายามกลบเกลื่อนทำนองว่าเป็นเรื่องภายในพรรคเท่านั้น
แต่กลับมีเสียงลือแว่วจากคนในว่าแท้จริงเป็นเรื่องแตกแยกด้านความคิด เพราะตัวนายธนาธรเริ่มมีลักษณาการลดท่าทีปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล คสช. ตรงข้ามกับพฤติการณ์ของกลุ่มเคลื่อนไหวในพรรคที่ยังยืนกรานแสดงออกต่อต้านอย่างรุนแรงและสุดโต่งแบบไม่ลดละ
สะท้อนการบริหารงานของพรรคได้เป็นอย่างดีว่า นอกจากด้อยประสบการณ์แล้ว ตัวผู้นำพรรคเองขาดความสามารถในการจัดการด้านทรัพยากรบุคคลในพรรค เห็นฉะนี้แล้วหลายคนถึงกับเลิกคาดหวังกับการบริหารงานในระดับประเทศภายหน้า เพราะจะออกมาในรูปไหนไม่ต้องถึงกับปราดเปรื่องนัก ก็พอจะคาดเดาได้
กับอีกหนึ่งกรณีล่าสุด ที่อาจทำให้เสถียรภาพและภาพลักษณ์ของพรรคอนาคตใหม่ต้องสั่นคลอนเมื่อ กลุ่มตัวแทนผู้สมัคร สส.ของพรรคฝั่งธนบุรี แสดงความไม่พอใจออกมาสาวไส้จนแทบไม่เหลือชิ้นดีว่า กระบวนการสรรหาผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่นั้นส่อแววทุจริต มีการเตะตัดขาผู้ที่สมัครออกจากการแข่งขัน ซ้ำร้ายยังอิงแอบ "ระบบอุปถัมภ์" ด้วยการนำกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับผู้บริหารมาลงสมัครแทน
จนหนึ่งในสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ และว่าที่ผู้ประสงค์สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อสัดส่วนภาคใต้ ของพรรคถึงกับอดรนทนไม่ได้ ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟสบุ๊ก ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าการท้วงถามถึงการยกเลิกการเลือกตั้งไพรมารี่โหวต สส.ระบบบัญชีรายชื่อ อันเป็นกลไกที่จะได้มาซึ่งผู้แทนอย่างชอบธรรม เพื่อเป็นการสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยในพรรค
แต่ทางพรรคกลับเลือกที่จะ "ฉีก" และ "ทำลาย" ให้อันตธานหาย ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของสมาชิกภายในพรรค มอบอำนาจให้แต่เพียงคนใกล้ชิดแบบ "อภิสิทธิ์ชน" ที่นายธนาธรเคยกรานว่าจงเกลียดจงชังนักหนา จากสองครั้งสองคราก็เพียงพอที่จะประจักษ์ชัดว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ สวนทางกับ "ลมปาก" ที่นายธนาธรเคยฟุ้งเป็นคุ้งเป็นแควอย่างสิ้นเชิง
ซ้ำร้ายกลับกลายเป็นการ "ขว้างงูไม่พ้นคอ" เมื่อทุกคำกล่าวบริภาษฝ่ายตรงข้ามของนายธนาธรกลับย้อนเข้าหาตัว เพราะการกระทำของเขาเองนั้น เป็นการใช้อำนาจอย่างไร้ความชอบธรรมแบบ "อำนาจนิยม" เล่นพรรคเล่นพวกอย่าง "ระบบอุปถัมภ์" เปิดโอกาสให้แต่เพียงคนใกล้ชิดประหนึ่ง "อภิสิทธิ์ชน"
กลับตาลปัตรกับเมื่อครั้งที่นายปิยะบุตรเอ่ยสัจจะว่า "พรรคอนาคตใหม่" จะทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์โปร่งใสและตรวจสอบได้ ยืนยันว่าจะเป็นพรรคที่สมาชิกทุกคนร่วมเป็นเจ้าของ ร่วมแสดงความเห็นเพื่อกำหนดทิศทางของพรรคและที่สำคัญจะเปิดเผยงบการเงินแก่สาธารณะทุกๆ 3 เดือน อีกทั้งเมื่อสังเกตดูแล้วจะพบว่า ท่าทีของนายธนาธรภายหลังประกาศปลดล็อคพรรคการเมืองนั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงเอนเอียงไปทาง "นักการเมือง" เต็มตัว มากกว่าที่จะมีความแข็งกร้าวดุจดั่ง "นักอุดมการณ์" เช่นแต่ก่อน
อันจะเห็นได้จากการปรับตัวแบบ "จิ้งจกเปลี่ยนสี" ที่ในตอนนี้ ดูจะมุ่งหวังผลลัพธ์ทางการเมืองมากขึ้น จากแต่เดิมที่ไม่เคยแม้แต่จะกริ่งเกรง โดยเฉพาะแรกทีเดียวกับการเสนอ "ยกเลิก ม.112" ต่อมาเป็น "ไม่ยกเลิกแต่สร้างขอบเขตบังคับใช้กฏหมาย" ท้ายสุดกลายเป็นพลิกลิ้นว่า "จะไม่ยุ่งกับ ม.112" จะด้วยเพราะมีสำนึกแบบวิญญูชนขึ้นมา หรือเป็นเพียงละครฉากใหญ่ในช่วง "ฤดูเก็บเกี่ยว" ก็ตาม แต่ความประพฤติปฏิบัติของตัวนายธนาธร และการบริหารงานอันไร้เสถียรภาพของพรรค ได้ทำลายความชอบธรรมจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว
โมงยามนี้จึงดูเหมือนว่า อนาคตของ "พรรคอนาคตใหม่" เริ่มจะมืดมนอนธการเสียแล้ว เพราะคงไม่มีใครกล้าเอ่ยได้อย่างเต็มปากอีกต่อไปว่า "พรรคอนาคตใหม่ยืนอยู่ฟากฝั่งประชาธิปไตย"