- 21 ธ.ค. 2561
ก็มิใช่เรื่องเหนือคาดหมายหากเป็นปกติวิสัยด้วยซ้ำ กับพฤติกรรมตามประสาคนวัยดึกที่มีความเป็น "นักการเมือง" กำซาบอยู่ในทุกอณู ภายหลังประกาศ "ปลดล็อคพรรคการเมือง" ที่ราวกับเป็นการปลดโซ่ตรวนให้ออกมาโลดแล่นโผงผาง เพราะนอกจากจะเป็นสัญญาณให้เริ่มเคลื่อนไหวเชิงนโยบายได้แล้วนั้น
ก็มิใช่เรื่องเหนือคาดหมายหากเป็นปกติวิสัยด้วยซ้ำ กับพฤติกรรมตามประสาคนวัยดึกที่มีความเป็น "นักการเมือง" กำซาบอยู่ในทุกอณู ภายหลังประกาศ "ปลดล็อคพรรคการเมือง" ที่ราวกับเป็นการปลดโซ่ตรวนให้ออกมาโลดแล่นโผงผาง เพราะนอกจากจะเป็นสัญญาณให้เริ่มเคลื่อนไหวเชิงนโยบายได้แล้วนั้น พลพรรคพวกใครพวกมัน...ก็ต่างเฮฮะโลเกทับข่มกันไปมา สาดเสียเทเสียทำประหนึ่งว่าประชาชนหูตามืดมัว..เขลาเบาปัญญาในยุคที่ข่าวบ้านการเมืองและข้อเท็จจริงในโลกหล้าอยู่เพียงปลายนิ้วสัมผัส
ใครจะปฏิเสธไปเสียได้ว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จัดเป็นนักการเมืองมือเก๋าที่ผ่านร้อนหนาวในเกมแห่งอำนาจและทรงอิทธิพลสูงยิ่งในหมู่มวลชนโทนแดน ทุกความเคลื่อนไหวจึงถูกจับจ้องและได้รับความสนใจมาโดยตลอด ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า กับการแถลงข่าวในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง "พรรคเพื่อไทย" ที่ไม่วายพาดพิงถึง "พรรคพลังประชารัฐ" ที่ตัวเขานั้นถือมั่นว่าเป็นขั้วตรงข้าม ด้วยการ "ชักแม่น้ำทั้งห้า" จูงให้คล้อยตาม ด้วยการพุ่งเป้าประเด็นไปยังกระบวนการได้มาซึ่งนายกฯ ที่เขาเชื่อว่า "ไม่มีความชอบธรรม" พร้อมโอ่ว่าตนนั้นอยู่ในสนามการเมืองมานาน อ่านเกมขาดอย่างปรุโปร่งว่า "พรรคพลังประชารัฐ" เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น ผลบั้นปลายอย่างไรเสีย "พรรคเพื่อไทย" จะชนะ และ "พรรคพลังประชารัฐ" ต้องแพ้อย่างแน่นอน
กึ้งกึ่งจะเป็นการ "ตีรวน" อยู่ในที...แต่อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือการที่ ร.ต.อ.เฉลิมประหวัดไปยัง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่แม้นจะอยู่วิมานพรรคเพื่อไทยจงรักภักดีต่อนายคนเดียวกัน แต่ใครก็ต่างรู้ดีว่าทั้งสอง นั้น "ศรศิลป์ไม่กินกัน" เท่าใดนัก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ ทางคุณหญิงสุดารัตน์ เครื่องจะร้อนเดินหน้าเต็มกำลังเล่นลูกออดหยอดคำหวานอย่างมีชั้นเชิงสร้างหวังกระจายฐานแฟนคลับ ที่แต่แรกกระจุกตัวอยู่แต่เหนือ-อีสาน ตรงข้ามกับ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ถึงแม้จะปัดว่าตนไม่ได้อยู่ในส่วนของยุทธศาสตร์พรรคอาจด้วยเพราะอายุอานามและสังขารที่ร่วงโรยตามวัย...แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าคงครองลุคดำเนินกลยุทธ์แบบ old-school โพทนาฝ่ายตรงข้ามมากกว่าที่จะเน้นเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์
อีกด้านหนึ่งก็ดูเหมือนว่า "ตำราพิชัยฉบับแตกพรรค" ของ "พรรคเพื่อไทย" ก็มีอันต้องตกไป เมื่อมีกระแสข่าวว่า พรรคเครือข่ายอย่าง "พรรคเพื่อธรรม" ได้รับคำสั่งตรงจากนายทักษิณ ให้ผู้อยู่เบื้องหลังคือเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาว ลดบทบาทลงอาจด้วยเพราะมี "ชนักติดหลัง" จากคดีโกงมโหฬาร "โครงการรับจำนำข้าว" ที่รู้กันไปทั้งบาง
กลับมาที่ความเป็นไปได้ถึงชัยชนะของ "พรรคเพื่อไทย" การไปถึงฝั่งฝันในการเลือกตั้ง 2562 ดูจะไม่ง่ายเช่นแต่ก่อน จากกฏหมายฉบับใหม่ว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อมิให้พรรคใดพรรคหนึ่งมีอภิสิทธิ์ผูกขาดฐานเสียงในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะ "พรรคเพื่อไทย" ที่ก่อนหน้าดูประหนึ่งว่าถือครองสัมปทานพื้นที่ อีสาน-เหนือ ไม่ว่าจะด้วยกลยุทธ์แบบ "ผีโม่แป้ง" หรือเป็นเพราะนโยบายที่ถูกตาต้องใจก็ดี แต่การเลือกตั้งในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "สัดส่วนผสม" แทนที่ระบบเดิมนั้น ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นระบบเลือกตั้งที่เป็นธรรมที่สุด เพราะทุกเสียงของประชาชนจะมีความหมาย และเป็นการกำหนดเพดานของ สส. แต่ละพื้นที่ไปในตัว จึงทำให้พรรคเก่าแก่และคนหน้าเดิมเกิดอาการอกสั่นขวัญแขวนมิอาจชะล่าใจได้อีกต่อไป...จนต้องแตกเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยดังที่ปรากฏ
จากข้อมูลเชิงตัวเลขในปี 2554 ระบุว่า ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ "พรรคเพื่อไทย" ได้รับชัยชนะนั้นคือจำนวน ส.ส. ในพื้นที่ภาคอีสานและเหนือที่มีถึง 104 คน และ 49 คน ตามลำดับ ในขณะที่ ส.ส.ของ "พรรคประชาธิปัตย์" ที่มีสถานะเป็น "คู่ขับเคี่ยว" ในพื้นที่ดังกล่าว มีเพียง 4 และ 13 คน ตามลำดับเท่านั้น ตรงกันข้ามกับพื้นที่กรุงเทพฯ และ ภาคใต้ ที่ "พรรคประชาธิปัตย์" กวาดเก้าอี้ ส.ส. ได้ถึง 23 และ 50 คน ตามลำดับ อันจะเห็นได้ว่าการเลือกระบบสัดส่วนผสมและการแบ่งเขตแบบใหม่ จะเป็นการกระจายโอกาสให้การแข่งขันเป็นไปอย่างยุติธรรม เพราะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า "พรรคเพื่อไทย" มิอาจผูกขาดเก้าอี้ ส.ส. ในพื้นที่เดิมได้อีกต่อไป
และสำหรับ "พรรคพลังประชารัฐ" ที่ดูจะมาแรงจนเป็นที่น่าจับตามองในห้วงเวลานี้ ด้วยเพราะเป็นการรวมตัวของบุคลากรจากหลากหลายวิชาชีพ ทำให้จินตนาภาพได้ถึงเหล่า "เทคโนเครต" ที่จะมาบริหารงานในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมหากชนะการเลือกตั้ง จึงมีภาษีดีกว่าอีกหลายพรรค อีกประการหนึ่งที่น่าจับตามองคือการสงวนท่าทีของ "พรรคประชาธิปัตย์" ที่มีอำนาจแฝงในแง่ของผลคะแนนการเลือกตั้ง เสมือนพรรคตัวแปรทีอาจพลิกเกม ให้ "พรรคเพื่อไทย" ที่เคยผงาดตกกลายเป็น "มวยรอง"
ครั้นแล้วก็ยิ่งให้ประจักษ์ถึงความลักลั่นต่อคำกล่าว ของ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะมิต้องถึงขนาดปราดเปรื่องนักก็รู้แกวกันดีว่าเป็นการข่มไปตามประสาเสียมากกว่า...เพราะความเป็นไปได้ที่ "พรรคเพื่อไทย" และก๊กที่สวามิภักดิ์จะได้ฉลองชัยชนะกันนั้น...ดูจะเลือนลางเต็มทีส่วนความขยันขันแข็งเพื่อเป็นการทิ้งทวนในสนามการเมืองที่เขากล่าวไว้นั้นก็อาจเป็นความ "สูญเปล่า" ก็เป็นได้