- 14 พ.ค. 2562
"ทักษิณ" จัดหนัก ทุ่มเงินซื้อทีมฟุตบอลชื่อดังมอบหมาย "มิตติ" เจรจา ถอดความสัมพันธ์ "ยงยุทธ-ทักษิณ" ไฉนข้ามหัว "ลูกโอ๊ค"
กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงการเมืองขึ้นอีกครั้ง จากความเคลื่อนไหวของคนแดนไกล นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้ผันตัวมาเป็นนักโทษหนีคดี จากการฉ้อราษฎร์บังหลวงครั้งมโหฬารในประวัติชาติที่คนไทยไม่อาจลืม ทำให้ ณ เวลาพฤติกรรมระเห็จเร่ร่อนไม่มีหลักแหล่งของเขาจึงไม่ต่างอันใดกับ 'เจ้าไม่มีศาลสมภารไม่มีวัด'
ล่าสุด กับกรณีการทุ่มเงินมหาศาลซื้อสโมสรฟุตบอล จะด้วยเจตนาแฝงเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมหวังกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหรือไม่ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมา เมื่อสื่อดังจากอังกฤษนำโดย "เดอะซัน" พาดหัวใหญ่ ทำนองว่านักธุรกิจอดีตเจ้าของทีมเรือใบสีฟ้ากำลังเจรจาทาบทามเพื่อขอซื้อทีม คริสตัล พาเลซ ทีมดังในพรีเมียร์ลีก
รวมถึงการประโคมข่าวโดยสื่อเทศอีกหลายเจ้าระบุไปในทางเดียวกันว่า อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศไทยเตรียมหวนคืนกลับมาวงการลูกหนังอีกครั้งหลังเมื่อ 11 ปีที่แล้วเขาขายทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อทำกำไร ให้กับ ซีค มันซูร์ เศรษฐีอาหรับเจ้าของทีมปัจจุบัน
กระแสข่าวดังกล่าว มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อล่าสุดวันนี้ 14 พ.ค. 2562 ได้รับการยืนยันจาก "บิ๊กฮั่น" นายมิตติ ติยะไพรัช อดีตประธานสโมสรฟุตบอล เชียงราย ยูไนเต็ด ว่าการเจรจาดังกล่าวเป็นเรื่องจริง และทาง "ทักษิณ" พร้อมทุ่มเงิน 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 6,147,200,794 บาทเพื่อขอเทคโอเวอร์ทีมชั้นนำในกรุงลอนดอนนี้
"ผมก็พร้อมทำงานเพราะถือว่าเป็นงานที่ถนัดเพราะทำงานดูแลทีมฟุตบอลมาเชียงราย ยูไนเต็ด มาก่อน แม้ว่าจะถือเป็นงานที่ท้าทายเพราะเป็นสโมสรที่มีชื่อชั้น และมีมาตรฐาน แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีของตัวเอง" นายมิตติ กล่าว โดยมีการคาดการณ์ว่า นายทักษิณ จะมอบหมายให้นายมิตติ รับหน้าที่บริหารจัดการทีม หากการเจรจาซื้อขายกับ สตีฟ พาริช เจ้าของคนปัจจุบันสำเร็จ
นับว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เมื่อสังคมเริ่มผุดคำถามว่าเหตุใดนายทักษิณ จึงมอบหมายหน้าที่แก่นายมิตติ ให้ดำเนินการเจรจาธุรกิจในจำนวนเงินมหาศาล ซึ่งแม้จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากสืบสาวจนทราบถึงความสัมพันธ์อันแน่นเฟ้น ระหว่าง นายมิตติ ผู้เป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช หรือที่คุ้นหูกับในนาม "อ้ายยุทธ" นักการเมืองขั้วพรรคเพื่อไทยผู้เปี่ยมบารมีทางภาคเหนือ และตัวนายทักษิณ
นับแต่ นายยงยุทธ เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองภายหลังการแปรพักตร์จากฟากฝั่งประชาธิปัตย์ หันหน้าซบอกพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้ง วันที่ 6 ม.ค. 2554 โดยที่นายยงยุทธนั้น สามารถจัดกระบวนทัพหอบหิ้วกะเตง นำพา ส.ส. เชียงรายเข้าสภาได้ถึง 8 เขต ด้วยผลงานอันโดดเด่นจนเข้าตานายใหญ่ ทำให้เขาได้รับการปูนบำเหน็จอย่างก้าวกระโดด สู่ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา
ถัดมาในการเลือกตั้งวันที่ 6 ก.พ. 2548 ที่พรรคไทยรักไทยสามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส.มาได้อย่างถล่มทลาย นายยงยุทธก็ได้รับตำแหน่งใหญ่เป็นถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การแสดงออกถึงความจงรักภักดีของนายยงยุทธ ที่มีต่อนายทักษิณ เริ่มปรากฏความชัดเจนมากขึ้น เมื่อครั้งการรวมตัวจากภาคประชาชนขับไล่ "ระบอบทักษิณ" ในนาม "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ที่ผู้สังเกตการณ์หลายคน ระบุตรงกันว่า มีกลุ่มแกนนำที่เป็นลิ่วล้อของนายยงยุทธ ระดมกำลังในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ของกระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งมีอธิบดีคือ นายดำรงค์ พิเดช ให้เข้าก่อกวนและปาระเบิดเวทีเมืองไทยเป็นรายสัปดาห์ ด้วยหวังทำลายขวัญและกำลังใจของกลุ่มที่ต่อต้าน นายทักษิณที่เขาเทิดทูนและเสมือนผู้มีพระคุณ
อย่างถึงที่สุดแล้ว เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดส่อเค้าบานปลายจนทาง พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ต้องออกโรงห้ามมวยด้วยตนเอง ผ่านการสั่งการให้กำลังพลจับตาสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด แต่กลับกลายเป็นว่า นายยงยุทธ เลือกจะโต้กลับด้วยการวางตนเป็นปฏิปักษ์ต่อกองทัพ
นายยงยุทธได้มีคำสั่งลับไปยังบริเวารเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ให้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของทหารอย่างใกล้ชิด จนทำให้ทหารและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติดและออกลูกเขม่นกันแทบตลอดเวลา
หลังการยึดอำนาจ เพื่อฟื้นคืนสงบกลับสู่ประเทศในวันที่ 19 ก.ย. 2549 และนายยงยุทธ ถูกเรียกเพื่อควบคุมตัว ก็ดูเหมือนจะลดท่าทีและบทบาทของตนลงไม่โลดแล่นอย่างเปิดเผยเฉกแต่เดิม จวบกระทั่ง วันที่ 6 ม.ค. 2562 นายยงยุทธ ได้กลับมาอีกครั้งในฐานะกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ที่เป็นอันรู้กันว่ามีสถานะเป็นพรรคเครือข่ายพรรคเพื่อไทย โดยที่อาจทีนายทักษิณชักนำบงการอยู่เบื้องหลัง
นายยงยุทธจุดประกายไฟลูกใหญ่ ด้วยการหล่นถ้อยวาจาตอนหนึ่งระหว่างการปราศรัยว่า "เราได้พยายามให้ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาประเทศไทย 3 ครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ จึงขอโอกาสครั้งนี้ซึ่งถือว่าเป็นครั้งที่ 4 หากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเลือกพรรคเพื่อชาติ...”
จนท้ายสุดดูเหมือนจะถูกกระแสตีกลับจนนายยงยุทธถึงกับต้องเบี่ยงประเด็นให้เป็นอื่นไปเสีย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็สะท้อนอย่างชัดเจนถึงความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อนายทักษิณ และดูเหมือยจะถูกถ่ายทอดส่งตรงถึงรุ่นลูก เพราะนายมิตติ ก็เป็นหนึ่งในตัวเอ้ของอดีตพรรคไทยรักษาชาติ อีกหนึ่งพรรคเครือข่ายของพรรคเพื่อไทย ในตำแหน่ง เลขาธิการพรรค
แต่ด้วยการวางหมายที่ผิดพลาดมหันต์ จนสะดุดล้มคะมำหน้าทิ่ม เป็นเหตุให้พรรคถูกยุบ จากหนุ่มไฟแรงกลับต้องถูกตัดสิทธิการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งการที่นายทักษิณ มอบความไว้วางใจก็เสมือนรางวัลปลอบใจแก่ข้าบริวารผู้จงรักภักดีก็อาจเป็นไปได้
ก็ชวนให้ขบคิดกันต่อไปว่าไฉน นายทักษิณ จึงเลือกจะฝากฝัง นายมิตติ ที่ไม่ใช่แม่กระทั่งเครือญาติ ชนิดข้ามหน้าข้ามตาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน อย่างนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ ลูกโอ๊คประหนึ่ง เห็นขี้ดีกว่าไส้?? แต่กระนั้นเมื่อนึกย้อนก็พบข้อเท็จจริงอันชวนสังเวชว่า ลูกโอ๊ค หาได้เคยมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหลบหลังพึ่งพิ่งร่มเงาผู้เป็นพ่อ
อย่างไรก็ตาม เห็นชัดที่สุดคงจะไม่พ้นการที่ตนถึงกับลงทุนลงแรงกุมสื่อใหญ่ชื่อดัง ถือหุ้นใหญ่เป็นเจ้าของ ก็เฉียดไปเฉียดมาจะโดนสั่งปิดก็สะท้อนถึงความสามารถของนายพานทองแท้ ได้โดยไม่ต้องสาธยายต่อให้มากความใดๆต่อไปอีก