- 12 พ.ย. 2562
@ ถือเป็น 2 ไทมไลน์สำคัญซึ่งดูจะเป็นการส่งสัญญาณสำคัญในทางการเมืองครั้งแรก ๆ สำหรับการที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ออกมาพูดถึงอนาคตตัวเอง ในคดีถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย สำทับด้วยข้อสรุปของโฆษกพรรค อย่าง ช่อ พรรณิการ์ หลังจากก่อนหน้ายืนยันทุกครั้งว่าไม่ได้ทำความผิด มั่นใจในหลักฐานพิสูจน์ต่อศาลรัฐธรรมนูญ
@ ถือเป็น 2 ไทมไลน์สำคัญซึ่งดูจะเป็นการส่งสัญญาณสำคัญในทางการเมืองครั้งแรก ๆ สำหรับการที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ออกมาพูดถึงอนาคตตัวเอง ในคดีถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย สำทับด้วยข้อสรุปของโฆษกพรรค อย่าง ช่อ พรรณิการ์ หลังจากก่อนหน้ายืนยันทุกครั้งว่าไม่ได้ทำความผิด มั่นใจในหลักฐานพิสูจน์ต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ตัวอย่างชัด ๆ ต้องหยิบยกมาสังเคราะห์ในช่วงที่ พรรคอนาคตใหม่ นัดหมายเดินหน้าแคมเปญ "เอาไม่อยู่" 16 พฤศจิกายน 2562 คือ สิ่งที่เป็นเหมือนการอธิบายทิศทางการเมือง ของ ธนาธร หลังจากวันที่ 20 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลานัดหมายการวินิจฉัยคำร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อ ว่า เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกผู้แทนราษฎร อันเป็นเหตุทำให้สมาชิกภาพความเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101 (6) และ มาตรา 98 (3) หรือไม่
โดยเฉพาะคำพูดของ ธนาธร สรุปเป็นใจความสำคัญ สะท้อนถึงผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ตนเองก็จะทำงานการเมืองต่อไป และการได้เป็นส.ส.หรือไม่ ไม่ได้หยุดยั้งการก้าวเดินไปข้างหน้า และคดีถือหุ้นสื่อก็เป็นแค่การวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติการเป็นส.ส. ไม่ได้มีผลกระทบต่อพรรคอนาคตใหม่ อย่างที่มีการตีความกันเรื่องการยุบพรรค
"เรื่องการถือหุ้นสื่อไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับการยุบพรรค เป็นแค่ธนาธรมีคุณสมบัติเป็นส.ส.หรือไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับการยุบพรรค แล้วคดีที่มีอยู่ทั้งหมดจะนำไปสู่การยุบพรรคได้ก็ยากมาก เพราะการยุบพรรคจะเขียนไว้ชัดเจนว่าจะต้องมีกรณีใดบ้าง"
ธนาธร เน้นย้ำเรื่องการยุบพรรคหลายรอบ รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ คนที่พูดถึงเรื่องยุบพรรคว่า ต้องกลับไปดูพรรคอนาคตใหม่มีทั้งหมดกี่กรณีที่จะนำไปสู่ยุบพรรคได้บ้าง และพรรคอนาคตใหม่ ยืนยันในความบริสุทธิ์ โดยไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
@เช่นเดียวกันต้องย้ำเช่นกันว่า ก่อนหน้านี้แวดวงการเมือง แทบไม่ได้เคยได้ยินว่า ธนาธร จะยอมรับผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถึงขนาดนี้ แม้ว่าจะถูกวิจารณ์อย่างมากมาย ถึงคำให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญ หลายบทหลายตอนที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถูกร้อง แต่ ธนาธร เลือกปฏิเสธจะไม่ตอบ หรือ อ้างว่าไม่รู้ ไม่ทราบ เพียงเท่านั้น
อีกคนน่าสนใจ เพราะเชียร์อัพความถูกต้องของ ธนาธร มาโดยตลอด ก็อ ช่อ พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ล่าสุดออกมาชี้แจงว่า โดยอ้างว่า แคมเปญ "อยู่ไม่เป็น" 16 พฤศจิกายน ไม่เกี่ยวข้องกับนัดหมายการฟังคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีการถือหุ้นสื่อของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
และไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร พรรคอนาคตใหม่จะเดินหน้าทำหน้าที่เช่นเดิม ส่วนถ้าหากผลออกมาเป็นลบ พรรคอนาคตใหม่ก็ยังคงมี ธนาธรเป็นหัวหน้าพรรค และการดำเนินกิจกรรมของพรรคยังคงเป็นไปในทิศทางเดิม เพราะพรรคไม่ได้มีเพียงแค่หัวหน้าเท่านั้น แต่ยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกกว่า 80 คน รวมถึงสมาชิกพรรคอีกกว่า 60,000 คน
@ ถ้ามองในแง่มิติการเมือง และตามคำร้องกกต. ถ้าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นลบต่อ ธนาธร ในแง่ของผลกระทบอาจจบแค่นั้น แต่ความเป็นจริงมีข้อกฎหมายบางแง่มุม ว่าบทสรุปอาจดราม่ามากกว่าที่แกนนำพรรคอนาคตใหม่ออกตัว
หากพิจารณาขยายความจากผลทางลบที่อาจเกิดขึ้น ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 เนื่องจาก ตาม พรป.การเลือกตั้งฯ มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ระบุว่า "การสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ย่อมมีมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนด 20 ปี
นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่ง
ดังกล่าวให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย
@อย่างไรก็ตามความถูก หรือ ผิด ที่จะเกิดขึ้นกับ ธนาธร หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ต้องรอพิสูจน์กันในวันที่ 20 พฤศจิกายน และรายละเอียดคำวินิจฉัยจะออกมาในรูปแบบไหน มีความเกี่ยวเนื่องกับผลความผิดอาญาหรือไม่ อย่างไร ถึงตรงนี้ใครบอกว่าแคมเปญ "อยู่ไม่เป็น" 16 พฤศจิกายน ไม่เกี่ยวกับคดีถือหุ้นสื่อ แสดงว่าพูดความจริงไม่หมด??