- 01 ก.พ. 2565
"ฟิล์ม รัฐภูมิ" นักร้อง-นักแสดงชื่อดัง และรองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย ชี้โครงการคนละครึ่ง ไม่ช่วยประเทศฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ ซัดอย่าสร้างหนี้ให้ประเทศ
วันที่ 1 ก.พ. 65 ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นักร้อง-นักแสดงหนุ่มชื่อดัง และรองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย ได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่งเฟส 4 หรือ คนละครึ่งระยะที่ 4 ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติวงเงินวงเงิน 34,800 ล้านบาท ในโครงการคนละครึ่งเฟส 4 โดยโอนเงินผ่านแอปฯเป๋าตัง จำนวน 1,200 บาท ซึ่งประชาชนสามาถใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. - 30 เม.ย. 2565 โดยระบุว่า
"โครงการคนละครึ่ง ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่มักนำมาอวดอ้างว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีนั้น แท้จริงแล้วยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย สะท้อนในทิศทางเดียวกันว่า ไม่มีเงินเพียงพอที่จะเติมเงินเข้าไปใน แอพ"เป๋าตัง" ทำให้นโยบายนี้ไม่ได้ผลเท่าที่ควรโดยเฉพาะในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพ และประเทศไทยไม่ใช่เป็น "ประเทศที่มีรายได้สูง" การแจกเงิน โดยไม่สร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ จะไม่ช่วยให้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่ผ่านประเทศไทยมีการเจริญเติบโตต่ำที่สุดในอาเซียน ตั้งแต่ก่อนโควิด และช่วงโควิด เศรษฐกิจของประเทศ หดตัวมากที่สุดในอาเซียน โดยเฉพาะในปีล่าสุด ประเทศไทยมีการฟื้นตัวต่ำที่สุดในอาเซียน สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวต่อแผนการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของรัฐบาล
โครงการคนละครึ่งผ่านมาแล้วสามเฟส และวันนี้เริ่มต้นเข้าสู่เฟสที่สี่ แต่รัฐก็ยังไม่เรียนรู้ว่าการใช้เงินที่หมดไปกับการแจกไม่ได้ผล ไม่ช่วยให้วิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น แต่ก็ยังหลับหูหลับตาทำ ไม่คิดจะทบทวน ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง จะเป็นไปได้หรือไม่ หากเลิกแจกเงิน แล้วเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ ที่เน้นการจ้างงาน เน้นการทำให้คนตัวเล็กเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อให้ลุกขึ้นมาได้เร็วที่สุดแข็งแรงที่สุด นำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนอีกครั้ง"
ฟิล์ม รัฐภูมิ ยังกล่าวอีกว่า "ความพยายามในการแก้ปัญหา ของรัฐบาลโดยเฉพาะ รมว.คลัง ยังซ้ำซากวนเวียนอยู่ในอ่าง ไร้วิสัยทัศน์ไร้แนวคิด ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ควรพิจารณาตัวเองว่า ควรจะอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ รวมถึงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่างตัวนายกรัฐมนตรีเอง ควรพิจารณาตัวเองด้วยว่ายังจะอยู่เป็นภาระ สร้างหนี้สินให้ประเทศต่อไปหรือไม่"